สหวิริยาสตีลฯ เผยศาลล้มละลายกลางรับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการแล้ว นัดไต่สวน 21 ธ.ค.นี้ งบไตรมาส 3 อ่วม บันทึกรายการบริษัทลูกก้อนใหญ่ 3 รายการประกอบด้วยการด้อยค่าของเงินลงทุน “เอสเอสไอ ยูเค” มูลค่า 2.7 หมื่นล้านบาทสำรองหนี้ระหว่างกัน 6.8 พันล้านบาท บันทึกหนี้สินเพิ่ม 2.8 หมื่นล้านบาท
นายวิน วิริยะประไพกิจ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) (บมจ.) (SSI) เปิดเผยว่า ศาลล้มละลายกลางได้รับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการของบริษัทไว้แล้ว เป็นคดีหมายเลขดำ ฟ.23/2558 เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2558 โดยกำหนดนัดไต่สวนคำร้องดังกล่าวในวันที่ 21 ธันวาคม 2558 หลังจากที่คณะกรรมการบริษัทมีมติเห็นควรว่า บริษัทควรเข้าสู่กระบวนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ผ่านวิธีการฟื้นฟูกิจการในศาล
นอกจากนี้กรณีที่บริษัทแจ้งการหยุดผลิตเหล็กแท่งแบนชั่วคราวที่โรงงานเอสเอสไอที่ไซด์ของธุรกิจโรงถลุงเหล็ก ซึ่งดำเนินงานโดยบริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี ยูเค จำกัด (เอสเอสไอ ยูเค) โดยเอสเอสไอ ยูเค เป็นบริษัทย่อยที่บริษัทถือหุ้นทั้งหมด 100% และการประกาศหยุดการผลิตในส่วนของโรงถลุงเหล็ก (Iron and Steel Making Operation) ของเอสเอสไอ ยูเค ส่งผลให้ต้องมีการลดจำนวนพนักงานลงประมาณ 1,700 คน จากทั้งหมดประมาณ 2,000 คน
อีกทั้งจากการประเมินสถานการณ์ ล่าสุด บริษัทขอแจ้งว่า เอสเอสไอ ยูเค ได้ตัดสินใจยื่นคำร้องขอยกเลิกกิจการและชำระบัญชี (Liquidation) ต่อศาล และศาลได้รับคำร้องดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว ในวันที่ 2 ตุลาคม 2558 ส่งผลให้สินทรัพย์ของเอสเอสไอ ยูเค เข้าสู่กระบวนการชำระบัญชีในทันที นอกจากนี้จะส่งผลให้คณะกรรมการของเอสเอสไอ ยูเค สิ้นสุดอำนาจดำเนินการกิจการของเอสเอสไอ ยูเค ด้วย
นายวินกล่าวว่า บริษัทประเมินผลกระทบจากการยกเลิกกิจการและชำระบัญชีของเอสเอสไอ ยูเค ซึ่งจะมีต่องบการเงินเฉพาะกิจการในไตรมาส 3/58 ได้แก่ 1.เงินลงทุนในบริษัทย่อยประมาณ 2.75 หมื่นล้านบาท ซึ่งบริษัทจะต้องมีการบันทึกการด้อยค่าของสินทรัพย์ในงบแสดงฐานะการเงิน และรับรู้ผลขาดทุนจากรายการดังกล่าวในงบกำไรขาดทุน
2.ยอดหนี้สินคงค้างระหว่างกัน ประมาณ 6.25 พันล้านบาท บริษัทจะต้องตั้งสำรองหนี้สินดังกล่าวเต็มจำนวนในงบแสดงฐานะการเงิน และรับรู้ผลขาดทุนจากรายการดังกล่าวในงบกำไรขาดทุน 3.หนี้ของเอสเอสไอ ยูเค จำนวน 790 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 2.8 หมื่นล้านบาท ในฐานะที่บริษัทเป็นผู้ค้ำประกันของเอสเอสไอ ยูเค ซึ่งบริษัทจะต้องมีการบันทึกหนี้สินเพิ่มขึ้น ในงบแสดงฐานะการเงินและรับรู้ผลขาดทุนจากรายการดังกล่าวในงบกำไรขาดทุน
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 35 ฉบับที่ 3094 วันที่ 8 – 10 ตุลาคม พ.ศ. 2558