นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานบริษัทกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด(มหาชน) หรือทียูเอฟ เปิดเผยถึงผลประกอบการของบริษัทในไตรมาสที่ 3 ของปี 2557 ว่า มียอดขาย 3.40 หมื่นล้านบาท มีกำไรสุทธิ 1.92 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 91% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ขณะยอดขายรวมช่วง 9 เดือนแรกอยู่ที่ 8.86 หมื่นล้านบาท ขยายตัว 8% มีกำไรสุทธิที่ 4.39 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น115% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทำให้บริษัทมีความมั่นใจว่าในปี 2557 นี้จะมียอดขายที่ 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 1.20 แสนล้านบาท
ทั้งนี้มีปัจจัยหลักจากผลการดำเนินงานของธุรกิจแบรนด์ของปลาทูน่าที่มียอดขายถึง 48% ยังเติบโตต่อเนื่อง, การบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพและไม่ต้องชำระดอกเบี้ยสะสมจากไตรมาสก่อนจากการแปลงสภาพหุ้นกู้เป็นหุ้นของทียูเอฟในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังมีปัจจัยสำคัญจากการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงในสหรัฐอเมริกา ขณะที่ธุรกิจกุ้งยังคงเติบโตสร้างกำไรได้ดีแม้จะประสบปัญหากุ้งขาดแคลนจากโรคตายด่วน(EMS)
สำหรับสัดส่วนรายได้ของกลุ่มธุรกิจทียูเอฟ ในไตรมาสที่ 3/2557 มาจากตลาดสหรัฐอเมริกาสัดส่วน 43% ยุโรป 31% ญี่ปุ่น 7% ตลาดในประเทศ 7% และตลาดอื่นๆ เช่นแอฟริกา ออสเตรเลีย ตะวันออกกลาง แคนาดา อเมริกาใต้รวม 12% ขณะที่ภาพรวมสัดส่วนรายได้ของ 6 กลุ่มธุรกิจในช่วง 9 เดือนแรกปีนี้กลุ่มธุรกิจทูน่ามีสัดส่วนรายได้ 47% กลุ่มธุรกิจกุ้งและธุรกิจที่เกี่ยวกับกุ้ง 24% กลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง 7%กลุ่มธุรกิจปลาซาร์ดีนและปลาแมคเคอเรล 5% กลุ่มธุรกิจปลาแซลมอน 4% และกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่มและผลิตภัณฑ์อื่นๆ13%
นายธีรพงศ์ กล่าวอีกว่า อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้บริษัทมีกำไรเพิ่มขึ้นมาจากราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้นตามวัตถุดิบทูน่าที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยปัจจุบันราคาวัตถุดิบปลาทูน่าเฉลี่ยที่ 1.40-1.50 พันดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน และปัญหาต่างๆได้รับการแก้ไขเช่น ธุรกิจกุ้งในครึ่งปีแรกบริษัทขาดทุน 500 ล้านบาทแต่ในครึ่งปีหลังสถานการณ์กุ้งเริ่มดีขึ้น อย่างไรก็ตามภาพรวมผลผลิตกุ้งของไทยในปีนี้จะมีปริมาณ 2 แสนตันลดลงจากปีก่อนที่มีปริมาณ 2.5 แสนตัน ส่วนปีหน้าน่าจะมีปริมาณกุ้งกลับมาที่ 2.5 แสนตัน ทั้งนี้แม้วัตถุดิบกุ้งจะลดลงแต่บริษัทยังสามารถทำกำไรจากกุ้งในบริษัทที่อยู่ในต่างประเทศได้ รวมถึงได้อานิสงส์จากค่าเงินบาทที่อยู่ในระดับ32.7-32.80 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการส่งออก นอกจากนี้มีอีก 2 บริษัทที่บริษัทได้ไปซื้อกิจการจะเริ่มรับรู้ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนนี้เป็นต้นไป ทำให้แนวโน้มผลประกอบการมีทิศทางที่ดีขึ้น
"บริษัทยังมองหาโอกาสตลอดเวลา แต่บอกไม่ได้ว่าจะเมื่อไหร่ แต่อยู่ใน 6 ธุรกิจหลัก โดยเรายังมุ่งมั่นว่าธุรกิจเรายังเติบโตอย่างต่อเนื่องประกอบกับคู่แข่งในบางอุตสาหกรรมลดลงเช่นกุ้ง ทำให้เรามีโอกาสมากขึ้นส่วนการควบรวมกิจการยังบอกไม่ได้ว่าอยู่ระหว่างเจรจากับใครบ้างแต่ช่วงนี้ก็มีบริษัทที่ออกมาขายกิจการในตลาดมากขึ้นในทุกภูมิภาคซึ่งก็เป็นโอกาสในการลงทุนของเรามาก ปีนี้เป็นปีที่กองทุนเอาทรัพย์สินมาขายมากกว่าปีก่อนๆ"
อย่างไรก็ตามในปีนี้คาดบริษัทจะมีรายได้ที่ประมาณ 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนปี 2558 ตั้งเป้ารายได้ที่ 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เนื่องจากมองว่าทั้ง 6 กลุ่มธุรกิจจะมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น ส่วนเป้ารายได้ในปีหน้าตั้งไว้ที่ 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งมั่นใจว่าจะสามารถทำได้และจะส่งผลให้บริษัทไปถึงเป้า 8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2563
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 34 ฉบับที่ 3,002 วันที่ 20 - 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557