บัญชีดำค้ามนุษย์สหรัฐฯ-อียูลดสัมพันธ์ไทย จุดกระแสไม่ง้อสหรัฐฯ-ยุโรป ระบุไทยต้องเล่นเกมให้เป็น แนะทุกฝ่ายหันคบค้าพันธมิตรเอเชียทั้งจีน ญี่ปุ่น อาเซียนมากขึ้น เผยตัวเลขชี้ชัด 4 ใน 5 คู่ค้าอันดับแรกของไทยอยู่ในเอเชีย ภาคเอกชนประสานเสียงยังไม่กระทบส่งออก 2 ตลาด บิ๊กซีพีเอฟออกโรงแจงกระทบน้อย ลูกค้าเข้าใจเริ่มสั่งของใหม่ ด้านแบงก์ระบุยังไม่มีสัญญาณเงินทุนไหลออก บัวแก้วเตรียมจัดทีมชุดใหญ่เดินสายแจง
กรณีที่สหรัฐอเมริกาพันธมิตรยาวนาน 180 ปีประกาศตัดความช่วยเหลือทางทหารต่อไทย หลังรัฐประหาร ล่าสุดได้จัดอันดับไทยให้อยู่ในกลุ่ม Tier 3 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรายงานการค้ามนุษย์ของสหรัฐฯประจำปี 2557 ซึ่งขณะนี้ทุกฝ่ายได้เร่งชี้แจงทำความเข้าใจ และจับตามองว่าประธานาธิบดีโอบามา จะประกาศผ่อนปรนหรือคว่ำบาตรไทยใน 90 วัน ส่วนสหภาพยุโรป(อียู)ออกแถลงการณ์ลดความสัมพันธ์กับไทยกรณีรัฐประหารเช่นกัน ขณะที่อีกฟากหนึ่งจีนมหาอำนาจในเอเชียได้แสดงความชื่นชมและพร้อมที่จะสนับสนุนการทำงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)อย่างเปิดเผย เป็นตัวเร่งให้ทุกฝ่าย ได้หวนคิดและตัดสินใจได้ว่าจากนี้จะหันพึ่งพา หรือคบใครมากขึ้น
++แนะหันพึ่งตลาดเอเชียมากขึ้น
นายสุนทร ว่องกุศลกิจ ประธานสภาธุรกิจไทย-จีน เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ที่ผ่านมาสหรัฐอเมริกาถือเป็นพี่ใหญ่ของโลก ชอบสวมบทตำรวจโลกเห็นใครทำอะไรไม่ดีก็ขู่ไปเรื่อย สำหรับปัญหาของไทยไม่น่าหนักใจมาก เพราะมั่นใจว่าจีนจะให้ความช่วยเหลือไทยมากขึ้น ซึ่งจะเป็นประเด็นที่จะต้องมาหารือกันต่อไปว่าจะช่วยเหลือกันในด้านใดบ้าง จึงไม่น่าเป็นห่วงเพราะถ้าไทยปรับตัวได้เร็ว ก็จะมีจีน อาเซียน และอินเดีย ยังไม่รวมนิวซีแลนด์ ออสเตรเลียอีก เมื่อรวมกันแล้วตลาดกลุ่มนี้มีประชากรมากกว่า 3 พันล้านคน เป็นสัดส่วนกำลังซื้อที่เกินครึ่งของตลาดโลกที่ไทยสามารถพึ่งพาได้
"ถึงเวลาแล้วที่ไทยจะต้องรักษาชาติให้มากขึ้น ที่ผ่านมาเรามีการคอร์รัปชันมาก ทำให้ความรู้สึกของต่างชาติมองไทยแย่ลง วันนี้เมื่อ คสช.เข้ามาในสายตาคนไทย 80% ถือว่าได้รับการยอมรับที่ดีกว่าในช่วงที่ผ่านมา ก็น่าจะผลักดันนโยบายต่าง ๆ ให้เดินหน้าต่อไป "ประธานสภาธุรกิจไทย-จีนกล่าวย้ำ
++ชูผนึกแน่นจีน-ญี่ปุ่น
ในความหมายนี้ไม่ต่างจาก รศ.ดร.สมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดีสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ ที่กล่าวว่า เมื่อไทยกำลังเผชิญปัญหาแบบนี้ในแง่พันธมิตรอย่างจีน ต้องยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือมากขึ้นอยู่แล้ว เนื่องจากจีนมียุทธศาสตร์สร้างแนวร่วมกับประเทศในอาเซียน ขณะที่สหรัฐฯ เองก็มองจีนเป็นคู่แข่งทางยุทธศาสตร์ เรื่องนี้ไทยก็ต้องเล่นเกมให้เป็น
ดังนั้นต่อให้วันนี้ไม่มีสหรัฐฯ และยุโรป ไทยก็ต้องมาให้ความสนใจกับจีนและญี่ปุ่น เพียงแต่จากนี้ไปต้องให้ความสำคัญในเชิงรุกมากขึ้นอีก โดยไทยจะต้องให้ความสนใจต่อการขยายโอกาสทางการค้ากับจีน โดยดูว่าสินค้าอะไรที่เป็นต้องการของตลาดจีน เนื่องจากเวลานี้จีนได้ลดการพึ่งพาการส่งออก และหันขับเคลื่อนเศรษฐกิจจากการบริโภคภายในมากขึ้น
ส่วนญี่ปุ่น ไทยจะต้องให้ความสำคัญในการดึงทุนจากญี่ปุ่นเข้ามาให้มากขึ้น เพื่อให้ใช้ไทยเป็นประตูเชื่อมโยงกับประเทศในกลุ่มCLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ เวียดนาม) ดังนั้นภายใน1 ปีรัฐบาลรักษาการโดย คสช.ที่ยังคงทำงานอยู่สามารถให้ความสำคัญกับจีนและญี่ปุ่นในเชิงรุกโดยกำหนดเป็นวาระแห่งชาติก็จะช่วยให้ประเทศไทยผ่านพ้นไปได้
++คู่ค้าหลักไทยอยู่ในเอเชีย
สอดรับกับ "ฐานเศรษฐกิจ"ได้ตรวจสอบ ลำดับคู่ค้าไทย 5 อันดับแรกช่วง 5 เดือนของปี 2557 (ม.ค.-พ.ค.) ที่ประกอบด้วย จีน ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา มาเลเซีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ปรากฏชัดว่ามีสัดส่วนการค้า 13.5, 12.8, 8.0, 5.7 และ 3.9% ตามลำดับ(ดูตารางประกอบ) ส่วนการค้าไทยกับสหภาพยุโรป หรืออียูสมาชิก 28 ประเทศ ช่วง 5 เดือนแรกมีสัดส่วน 9.63% มีมูลค่าการค้า 5.84 แสนล้านบาท ไทยส่งออก 3.15 แสนล้านบาท และนำเข้า 2.69 แสนล้านบาท ไทยเป็นฝ่ายเกิดดุลการค้าอียู 4.56 หมื่นล้านบาท จากปี 2556 ไทยขาดดุลการค้าอียู 2.24 หมื่นล้านบาทในจำนวนนี้คู่ค้าสำคัญของไทยในอียู 5 อันดับแรกประกอบด้วย เยอรมนี สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ และอิตาลี
ส่วนการค้าไทยกับอาเซียน 9 ประเทศ 5 เดือนแรกปีนี้ มีสัดส่วน 21.6% (รูปเงินบาท) ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ปัจจุบันการค้าไทยส่วนใหญ่ได้เริ่มหันมาค้ากับประเทศในเอเชียมากขึ้น และลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ และอียูลงจากตลาดมีการแข่งขันสูง และมีปัญหากีดกันการค้า รวมถึงสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร(จีเอสพี) ที่ไทยเคยได้รับจาก 2 ตลาดนี้ในที่สุดจะถูกยกเลิกไป
++ภาพรวมยังไม่กระทบการค้า
ขณะที่จากผลกระทบกรณี Tier 3 สหรัฐฯ และการลดความสัมพันธ์ของอียูต่อการส่งออกสินค้าไทยที่หลายฝ่ายกังวล ล่าสุด จากการตรวจสอบภาคเอกชนไทยในหลายกลุ่มสินค้าระบุยังไม่ได้รับผลกระทบ และยังค้าขายกันตามปกติ โดยมองเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นประเด็นทางการเมืองมากกว่า เท่านั้นยังไม่พอทุกคนยังระบุตรงกันว่าหากสหรัฐฯแซงก์ชันหรือคว่ำบาตรการค้าไทย ผู้ที่จะได้รับผลกระทบทางตรงและทางอ้อมคือผู้นำเข้า ผู้บริโภคของสหรัฐฯ และอียูเอง ที่ต้องพึ่งพาการนำเข้าสินค้าหลายกลุ่มจากไทย รวมถึงกระทบต่อบริษัทของสหรัฐฯ และอียู ที่มาลงทุนตั้งฐานในไทยเพื่อส่งออกสินค้ากลับไปยังประเทศของตน
นายถาวร กนกวลีวงศ์ นายกสมาคมอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทย 1 ในกลุ่มสินค้าที่ถูกสหรัฐฯกล่าวหามีการใช้แรงงานบังคับ ที่ย้ำชัดว่า ล่าสุดคู่ค้าทั้ง 2 ฝ่ายยังทำการค้าขายกันตามปกติ ไม่มีใครยกเลิกคำสั่งซื้อ สอบถามลูกค้ายังไม่รู้สึกกังวล มองว่าที่สุดแล้วไทยคงไม่ถูกคว่ำบาตรทางการค้า ตัวอย่างกรณีจีนที่เคยอยู่ในบัญชี Tier 3 ในรายงานการค้ามนุษย์ของสหรัฐฯก็ไม่ถูกคว่ำบาตรทางการค้า แต่เป็นไปได้ที่อาจห้ามนำเข้าสินค้าบางรายการที่มีปัญหาด้านแรงงาน
"หากเขาคว่ำบาตรทางการค้าผู้นำเข้า และผู้บริโภคของเขาก็จะได้รับผลกระทบด้วยเพราะเราเป็นหนึ่งในแหล่งผลิตที่สำคัญ"
++ดาบคืนสนองกระทบสหรัฐฯ-อียูเอง
เช่นเดียวกับนางประพีร์ สรไกรกิติกูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แพรนด้า จิวเวลรี่ จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า กรณีที่เกิดขึ้นถือเป็นปัจจัยเสี่ยงเพิ่มในการส่งออก แต่มองว่าสหรัฐฯคงไม่ถึงขั้นคว่ำบาตรทางการค้า เพราะจะส่งผลกระทบต่อผู้นำเข้าของสหรัฐฯเอง เนื่องจากปัจจุบันไทยเป็นผู้ผลิตและส่งออกเครื่องประดับทำด้วยเงินรายใหญ่สุดไปยังสหรัฐฯ รวมถึงนำเข้าอัญมณีฯอื่นๆ ขณะเดียวกันจะส่งผลกระทบต่อบริษัทอัญมณี และเครื่องประดับของสหรัฐฯ และอียูที่เข้ามาตั้งฐานในไทยและส่งออกไปยังกลุ่มประเทศของตน เรื่องที่เกิดขึ้นผู้ประกอบการยังไม่มีการปรับแผน เพราะการหาลูกค้ารายใหม่ๆ ก่อน 90 วันที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯจะประกาศอะไรออกมาคงไม่ใช่เรื่องง่าย
ขณะเดียวกันนางฉวีวรรณ คำพา ประธานกรรมการกลุ่มบริษัทในเครือฉวีวรรณ ผู้ส่งออกสินค้าไก่มีตลาดหลักที่สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น ที่กล่าวว่า ยังไม่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของอียู ลูกค้ายังเข้ามาติดต่อซื้อขายตามปกติ มองว่าอียูคงไม่แบนนำเข้าไก่ไทยจากเหตุผลประเทศไม่เป็นประชาธิปไตยเพราะเป็นคนละเรื่องกับการค้าขาย
ส่วนนายวัลลภ วิตนากร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไฮเทคกรุ๊ป จำกัด ผู้รับจ้างผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปส่งออกไปสหรัฐฯ และยุโรปที่กล่าวว่า เรื่อง Tier 3 ยังไม่ส่งผลกระทบต่อการผลิตและส่งออกเสื้อผ้าไปยังสหรัฐฯแต่อย่างใด จึงยังไม่กังวลต่อเรื่องนี้ ถึงแม้ว่าประธานาธิบดีโอบามา จะใช้อำนาจตัดสินใจคว่ำบาตรไทย อุตสาหกรรมสิ่งทอเครื่องนุ่งห่ม ก็คงไม่ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกันเนื่องจากประสบการณ์ในการคว่ำบาตรของสหรัฐฯกับหลายประเทศ อย่างเมียนมาร์ และเกาหลีเหนือ การแซงก์ชันก็ไม่ได้มีผลต่อการส่งออกสินค้า แต่อาจจะมีเพียงบางรายการเท่านั้น ที่เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์
ด้านนายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) กล่าวในเรื่องเดียวกันว่าจะไม่มีผลกระทบต่อการส่งออกของสินค้าอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ที่มีตลาดใหญ่อยู่ในสหรัฐฯและอียูจะไม่มีผลกระทบแต่อย่างใด เพราะผู้ที่มาลงทุนรายใหญ่ในการผลิตอุปกรณ์คอมพิวเตอร์รายใหญ่ เป็นของสหรัฐฯ ขณะที่การเจรจาเอฟทีเอต้องเลื่อนออกไปนั้น ก็คงไม่มีผลกระทบเพราะทางอียูก็ต้องพึ่งไทยเป็นฐานการผลิตอยู่แล้ว จึงมองว่าไม่น่าจะมีปัญหาตามมา
++ซีพีเอฟแจงกระทบน้อย
นายอดิเรก ศรีประทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร บริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เปิดเผย กรณี การชะลอการสั่งซื้อของลูกค้าในสหรัฐฯและยุโรปว่า มีผลกระทบเพียงเล็กน้อยกับบริษัทโดยเฉพาะในสหรัฐฯ ซีพีเอฟมีลูกค้ามากกว่า 100 ราย และมีมูลค่าการส่งออกรวม 4 พันล้านบาทต่อปี ในจำนวนนี้มีลูกค้าเพียงรายเดียวที่ชะลอการซื้อ โดยมีมูลค่าการสั่งซื้อ 600 ล้านบาทต่อปี เมื่อเทียบกับยอดขายรวมของบริษัทฯที่ 4 แสนล้านบาทเมื่อปีที่แล้วนั้น ถือว่าเป็นส่วนน้อย ส่วนผลกระทบในสหภาพยุโรปยังน้อยกว่าในสหรัฐฯมาก ขณะนี้ในภาพรวมลูกค้ามีความเข้าใจดีและจะกลับเข้ามาซื้อสินค้าใหม่หลังได้รับการชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานการณ์
++อย่าตื่น! ต่างฝ่ายต้องพึ่งพา
รศ.ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์การเมือง กล่าวว่า ขณะนี้เรามีปัญหามากในแง่การตีตนไปก่อนไข้ ไปตระหนกกับสหรัฐฯและอียูมากไป ความจริงแล้วถูกจับตามองเพียงแค่เรื่องค้ามนุษย์ แต่ไม่ได้กระทบต่อความสัมพันธ์ทางการค้าการลงทุน ซึ่งกระทบเศรษฐกิจน้อยมาก และอย่าลืมว่าถ้าสหรัฐฯตัดเรา เขาก็จะกระทบด้วย เพราะต่างยังต้องพึ่งพากันทั้งด้านการค้าและการลงทุน
"อย่าลืมว่านอกจากสหรัฐฯ และอียูแล้ว ไทยยังมีพันธมิตรอย่างจีน ญี่ปุ่นและอาเซียน มีอาเซียนบวก3 และอาเซียนบวก 6 อีก ที่ปัจจุบันโฟกัสในเชิงรุกอยู่แล้ว โดยเฉพาะการค้ากับอาเซียนที่เป็นอันดับหนึ่งของไทยในแง่การส่งออกโดยมีสัดส่วนมากถึง25% เมื่อเทียบกับการส่งออกทั่วโลก"
++ไม่กระทบทุนไหลออก-จีดีพี
ด้านดร.เบญจรงค์ สุวรรณคีรี ผู้อำนวยการ ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงผลกระทบทั้ง2กรณี ที่มีต่อประเทศไทย ในแง่เงินทุนเคลื่อนย้ายเชื่อว่าจะยังไม่เกิดขึ้น แต่จะส่งผลต่อบางอุตสาหกรรมเท่านั้น ส่วนผลกระทบต่ออัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือจีดีพี มองว่ายังมีค่อนข้างน้อย โดยเรื่องดังกล่าวนี้มีผลกระทบต่อภาคการส่งออกประมาณ 1%
++ทุนFDIญี่ปุ่น อเมริกา จีนยังพุ่ง
ด้านสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ รายงานข้อมูลการยื่นขอรับส่งเสริมของโครงการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ(เอฟดีไอ)ในช่วง 5 เดือนแรกปีนี้มีจำนวน 334 โครงการ เงินลงทุนทั้งสิ้น 2.30 แสนล้านบาท โดยมูลค่าเงินลงทุนลดลงราว 10% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีมูลค่าเงินลงทุน 2.56 แสนล้านบาท โครงการลงทุนจากญี่ปุ่นเป็นกลุ่มที่ยื่นขอรับส่งเสริมมากที่สุดจำนวน 168 โครงการ เงินลงทุน 7.28 หมื่นล้านบาท โครงการลงทุนจากสหภาพยุโรป มีมูลค่าเงินลงทุน 6.42 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 300% หรือ 3 เท่าตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2556 โครงการลงทุนจากสหรัฐอเมริกามีมูลค่าเงินลงทุน 4.12 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 570% หรือเกือบ 6 เท่าตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2556 โครงการลงทุนจากเกาหลีใต้ มีมูลค่าเงินลงทุนรวม 1.23 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 150% หรือกว่า 1 เท่าตัว และโครงการลงทุนจากจีนมีมูลค่ารวม 9.40 พัน ล้านบาท เพิ่มขึ้น 260% หรือกว่า 2 เท่าตัว เป็นต้น
++กต.จัดทีมเดินสายแจง
ด้านนายทรงศัก สายเชื้อ อธิบดีกรมอเมริกาและแปซิฟิกใต้ กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เปิดเผยว่าในเร็วๆนี้ กระทรวงการต่างประเทศกำลังจะจัดทีมซึ่งประกอบด้วยตัวแทนจากส่วนราชการ อาทิ กระทรวงแรงงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ รวมถึงภาคเอกชนเพื่อไปชี้แจงข้อเท็จจริงแก่ผู้ซื้อรายใหญ่ เช่น NFI (สมาคมผู้นำเข้าอาหารทะเลของสหรัฐฯ) และหน่วยงานภาครัฐและเอกชนทั้งในสหรัฐฯและอียู โดยในส่วนของอียูมีแผนไปชี้แจงที่อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี และประเทศแถบสแกนดิเนเวีย
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 34 ฉบับที่ 2,961
วันที่ 29 มิถุนายน - 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2557