เอกชน มองต่างมุม ก.พาณิชย์ปรับลดเป้าส่งออกเหลือ 7-7.5% สภาหอฯ ชี้ด่วนถอดใจ ทั้งที่ยังมีเวลาลุยอีก 7 เดือน ขณะสภาอุตฯ-สภาผู้ส่งออกเห็นด้วยที่ยอมรับความจริง  สั่งจับตาอาจต้องปรับลดเป้าลงอีกรอบ

 พร้อมระบุตัวเลขส่งออกเม.ย.ล่าสุดขยายตัวกว่า 10% แค่ภาพลวงตา เหตุน้ำท่วมใหญ่ฐานตัวเลขเม.ย.55ต่ำ ส่วนการลดดอกเบี้ยอาร์/พี ห่วงคุมบาทแข็งไม่อยู่
    นายอิสระ  ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ให้ความเห็นกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ถึงกรณีที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.)ได้มีการปรับลดเป้าหมายการส่งออกลง จากเป้าเดิมขยายตัวที่ 8-9% ลดลงเหลือ 7-7.5% (มูลค่า 2.45-2.46 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) มองว่าด่วนตัดสินใจเร็วเกินไป ทั้งที่ยังมีเวลาเหลืออีก 7 เดือนของปีนี้ที่ภาครัฐและเอกชนจะได้ร่วมมือกันแก้ไขปัญหาการส่งออก และผลักดันตัวเลขให้เพิ่มขึ้นทั้งในตลาดหลัก  (สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น)และตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ เช่น รัสเซียและซีไอเอส ตะวันออกกลาง และทวีปแอฟริกา เป็นต้น
    "การลดเป้าหมายถือว่าเร็วไปหน่อย ทั้งที่ยังไม่ต้องลดก็ได้ แต่ภาครัฐและเอกชนต้องร่วมกันวางกลยุทธ์เพิ่มเติมในการผลักดันการส่งออก การแก้ไขปัญหาภายในที่เป็นอุปสรรค ซึ่งล่าสุดเงินบาทมีเสถียรภาพดีขึ้นอยู่ที่ 29-30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ เรารับได้หากไม่ผันผวนและแข็งค่าเกินประเทศคู่แข่งและคู่ค้า ซึ่งจากนี้ไปมองว่าจะส่งออกได้ดีขึ้นหรือไม่ คงขึ้นอยู่กับแต่ละตลาดเป็นสำคัญ ทั้งนี้ในส่วนของบริษัทส่งออกแต่ละรายมีเป้าหมายของตัวเองอยู่แล้วไม่เกี่ยวกับกระทรวงจะปรับเป้าขึ้นหรือลง"
    ด้านนายพยุงศักดิ์  ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)กล่าวว่า การปรับลดเป้าหมายส่งออกของกระทรวงพาณิชย์คงมีเจตนาเพื่อให้มีความใกล้เคียงกับสถานการณ์ที่เป็นจริงมากที่สุด หลังไตรมาสแรกยังห่างเป้าหมายค่อนข้างมาก ขณะที่ส่วนตัวมองว่าปีนี้การส่งออกของไทยขยายตัว 6% ขึ้นไปน่าจะทำได้แม้เศรษฐกิจโลกจะชะลอตัว หากจากนี้ไปทั้งภาครัฐและเอกชนได้ร่วมมือกันในการผลักดันการส่งออกอย่างสุดกำลัง
    ส่วนกรณีที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย(อาร์/พี)จาก 2.75 เหลือ 2.50% เพื่อช่วยลดเงินทุนต่างประเทศไหลเข้ามากซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เงินบาทแข็งค่าในช่วงที่ผ่านมา มองว่ามาตรการนี้ช่วยได้แค่ส่วนหนึ่ง แต่กฎระเบียบภายในการควบคุมเงินทุนไหลเข้ามาเพื่อเก็งกำไรของไทยที่ผ่านมาถือยังมีช่องโหว่อีกมาก ดังนั้นคงต้องเตรียมมาตรการจากเบาไปหาหนักที่พร้อมใช้งานตลอดเวลา
    "เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าเวลานี้สหรัฐฯปรับตัวดีขึ้น แต่ต้องติดตามมาตรการคิวอีของเขาจะออกท่าไหน อียูก็ยังทรงๆ ญี่ปุ่นก็อยู่ระหว่างปรับโครงสร้างภายในใช้นโยบายเยนอ่อนค่าเพื่อกระตุ้นส่งออก ขณะบาทแข็งทำให้อำนาจซื้อสินค้าจากไทยลดลง ดังนั้นคงต้องมากระตุ้นการส่งออกไปยังตลาดอาเซียน การค้าชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้านและตลาดใหม่ๆ ที่ยังไปได้ดี"
    ส่วนนายนพพร เทพสิทธา ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย(สรท.) หรือสภาผู้ส่งออก กล่าวว่า ทางสภาฯ คาดการณ์การส่งออกปีนี้จะขยายตัวเพียง 4.92%  ซึ่งหากจากนี้เงินบาทยังผันผวนในทิศทางที่แข็งค่าอาจกระทบต่อการส่งออกในไตรมาสที่เหลือของปีนี้
    สำหรับมูลค่าการส่งออกของไทยในเดือนเมษายนล่าสุดที่ขยายตัวถึง10.5% มองว่าไม่ได้มีนัยสำคัญ อะไร ส่วนหนึ่งเป็นคำสั่งซื้อเมื่อปลายปีที่แล้วช่วงที่เงินบาทยังไม่แข็งค่า และถ้าย้อนกลับไปดูตัวเลขการส่งออกเดือนเมษายนปีที่แล้วมีฐานที่ต่ำจากผลกระทบน้ำท่วม
    ปลายปี 2554 หลายโรงงานยังไม่สามารถเปิดดำเนินการได้ เช่น ในกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ และอื่นๆ "กระทรวงพาณิชย์ปรับลดเป้าส่งออกเหลือ7-7.5% มองว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะการที่ยังคงเป้าสูง8-9% เป็นเป้าที่เป็นไปไม่ได้ แสดงว่าพาณิชย์เริ่มเห็นสัญญาณว่ามันเริ่มไม่เป็นไปตามเป้าหมาย แต่จะให้เขาปรับลดเป้าลงมาเหลือประมาณ5% ตามที่สภาผู้ส่งออกประมาณการไว้คงเป็นไปไม่ได้เพราะในเชิงราชการต้องกำหนดเป้าหมายท้าทาย เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานมีแรงบันดาลใจ"
    นายไพบูลย์ พลสุวรรณา   ที่ปรึกษาประธานสภาผู้ส่งออก กล่าวว่า เป้าหมายการส่งออก7-7.5% ของกระทรวงพาณิชย์มองว่าเป็นไปได้ยาก เพราะในแต่ละเดือนนับจากนี้ไปต้องทำให้ได้ระดับไม่ต่ำกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อเดือนถึงจะทำตัวเลขได้ตามเป้าหมาย ขณะที่คำสั่งซื้อจากประเทศคู่ค้าสำคัญของไทยแนวโน้มยังไม่ดีขึ้น ดังนั้นจึงอาจได้เห็นกระทรวงพาณิชย์มีการปรับลดเป้าหมายการส่งออกลงอีกครั้ง

 จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 33 ฉบับที่ 2,849 วันที่  2 - 5  มิถุนายน พ.ศ. 2556