ธปท.ลดดบ.นโยบาย นายกฯสั่งรมว.คลัง-หน่วยงานศก.ดูแลใกล้ชิดหวั่นบาทแข็งทุบ 27 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ ด้านอุตฯรายสาขา กระอั่กพล่านวิ่งปรับแผน ค่ายรถรุดเจรจาลูกค้าตปท.ขอปรับราคาขึ้น ลดจำนวนส่งออก หั่นป้อนในไทยก่อน กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าฯเล็งซบอิเหนาแหล่งลงทุนใหม่ หอการค้าไทย ชี้ส่งออกปี 56 เสี่ยงโตเพียง 3 % หากบาทแข็งแตะ 27 บาท ขณะที่โบรกฯ จ่อหั่นเป้ากำไจบจ.
จากสถานการณ์ที่เงินบาทแข็งค่าทุบสถิติใหม่อย่างต่อเนื่องที่ระดับ 28.50/28.75 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ฯ โดยแข็งค่าขึ้นถึง 6.86 จากสิ้นปี 2555 ( 28 ธันวาคม 2555 )ที่เงินบาทปิดที่ 30.60 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ล่าสุด เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2556 เงินบาทปิดที่ 28.81-28.83. บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ
*นายกฯสั่งดูแลภาคส่งออกใกล้ชิด
ต่อสถานการณ์ดังกล่าว นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว ถึงสถานการณ์การแข็งค่าของเงินบาท ที่หลายฝ่ายห่วงว่าบาทจะแข็งค่าแตะ 27 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯว่า รัฐบาลมีความเป็นห่วง จึงต้องให้ทุกหน่วยงานทำหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มที่ โดยหวังว่าทุกหน่วยงาน ทุกกลไกทางด้านเศรษฐกิจจะช่วยกันทำหน้าที่ของตนเอง
ส่วนมาตรการในการดูแลเงินบาท รัฐบาลได้สั่งการให้กระทรวงที่เกี่ยวข้องเข้าไปดูแลผู้ประกอบการธุรกิจส่งออก และได้ย้ำให้นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รวมถึงรัฐมนตรีที่ดูแลทางด้านเศรษฐกิจ ลงไปหารือเพื่อช่วยเหลือบริษัทที่ได้รับผลกระทบโดยเร็วที่สุด อย่างไรก็ดีจะมีมาตรการแทรกแซงค่าเงินบาทเพื่อไม่ให้แข็งค่าหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ต้องถามทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพราะทางภาครัฐมีหน้าที่ดูแลนโยบายโดยภาพรวม ส่วนข่าวที่ว่านายกิตติรัตน์ จะปลดผู้ว่าการ ธปท.นั้น ต้องถามรมว.คลัง"ทุกคนต้องทำหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มที่ อย่ามองว่าคนนั้นสั่งคนนี้สั่ง ต้องช่วยกันคนละไม้คนละมือก็จะเกิดประโยชน์ " นายกรัฐมนตรี กล่าว
ทั้งนี้นายกิตติรัตน์ ได้เสนอให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ทบทวนพิจารณาปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย (อาร์/พี )ลงจากปัจจุบันที่ยืนระดับ 2.75 % (มาตั้งแต่ 17 ต.ค.55 ) โดยเห็นว่าอัตราที่เหมาะสมในปัจจุบัน ควรจะปรับลดลง 1% มาอยู่ที่ 1.75% ถึงจะสกัดเงินทุนไหลเข้าอย่างได้ผล
*"โต้ง"เมินแนวทางแก้"หม่อมเต่า"
พร้อมกันนี้ ยังปฏิเสธที่จะยึดแนวทางการแก้ไขปัญหาเงินทุนไหลเข้า ตามที่ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล อดีตผู้ว่าการธปท. เสนอให้ธปท. เข้าแทรกแซงโดยการเข้าซื้อดอลลาร์ แล้วนำเงินดอลลาร์ไปตั้งกองทุนมั่งคั่งเพื่อลงทุนต่อ ว่า "ยังไม่เข็ดอีกหรือ ที่จะให้ไปซื้อขายเงิน สู้กับกระแสของเงินไหลเข้า ขณะที่ที่กระทรวงการคลังเสนอไม่ต้องไปสู้อะไรกับใครเลย คือปรับระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้เหมาะสม ดีกว่าจะใช้มาตรการอื่น ๆให้ยุ่งยาก " นายกิตติรัตน์ กล่าวและว่าในแง่ของรัฐบาลจะดำเนินการอะไรต่อหรือไม่นั้น ยืนยันว่ารัฐบาลเองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ
สอดคล้องกับนักวิชาการและผู้ประกอบการภาคส่งออก ที่เห็นว่า ค่าเงินบาทในช่วงเกือบ 4 เดือนที่ผ่านมา แข็งค่าและผันผวนอย่างรวดเร็ว โดยนายภาณุพงศ์ นิธิประภา คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เปิดเผยว่า เงินบาทในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาค่อนข้างผันผวนและแข็งค่า เนื่องจากธปท. ลดการแทรกแซงค่าเงินปล่อยให้เงินบาทเคลื่อนไหวตามกลไกตลาด เห็นได้จากทุนสำรองระหว่างประเทสที่ไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก
"ธปท. ในฐานะผู้กำกับนโยบายการเงิน ต้องคำนึงถึงผู้ส่งออกซึ่งเป็นหัวใจหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ธปท.ตรึงไว้ที่ 2.75% ต่อปี ถือว่าสูงเกินและอาจเป็นสาเหตุทำให้เงินบาทแข็งหลุด 28 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯได้ โดยเห็นว่ากนง.ควรเรียกประชุมก่อนวาระประชุมตามปกติที่จะถึงในวันที่ 29 พฤษภาคม 2556 เพื่อทบทวนปรับดอกเบี้ยลง 0.25% ซึ่งเชื่อว่าจะไม่กระทบต่อภาวะเงินเฟ้อ เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในปัจจุบันยังอยู่ในระดับต่ำเพียงกว่า 2% และไม่เห็นด้วยที่จะออกมาตรการรุนแรงหรือใช้มาตรการแคปิตอลคอนโทรล (การเก็บภาษีเงินไหลเข้า) เพราะจะส่งเสียมากกว่า
อย่างไรก็ดีนายไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธปท. และเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) กล่าว ยอมรับสถานการณ์เงินบาทที่แข็งค่าอย่างต่อเนื่องว่า ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นจากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ ว่าเป็นเรื่องที่ต้องยอมรับ เพราะเศรษฐกิจไทยมีความเข้มแข็งส่งผลให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่น
เช่นเดียวกับนายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธปท.ระบุว่าค่าเงินบาทแข็งค่าเกินปัจจัยพื้นฐานแล้วนั้น เป็นสิ่งที่ต้องยอมรับ และสะท้อนว่านักลงทุนต้องระมัดระวังต่อการแข็งค่าเงินบาทด้วย
"ค่าเงินบาทเริ่มเข้าสู่แดนที่ทาง ธปท.มองว่าแข็งค่ามากและเร็วเกินไป นักลงทุนและ ผู้ร่วมตลาดก็ต้องให้ความระมัดระวังต่ออัตราแลกเปลี่ยนที่เคลื่อนไหวอยู่ในขณะนี้ เพราะอัตราแลกเปลี่ยนที่ยั่งยืนและมีเสถียรภาพ ต้องสอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ" นายไพบูลย์กล่าว
" ฐานเศรษฐกิจ" ยังได้สำรวจภาคการผลิตรายสาขากว่า 40 กลุ่มอุตสาหกรรมที่เป็นสมาชิกในสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.)โดยสุ่มสำรวจบางสาขากลุ่มอุตสาหกรรมว่าจะได้รับผลกระทบ และหาทางออกอย่างไร
-ค่ายรถดิ้นสู้3แนวทาง
นายศุภรัตน์ ศิริสุวรรณางกูร ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ส.อ.ท. เปิดเผย"ฐานเศรษฐกิจ"ว่าจากการที่เงินบาทแข็งค่าจนหลุดกรอบ 29 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ไปแล้ว ทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์ที่พึ่งพาตลาดส่งออกมากถึง 50%ของกำลังผลิตรวมที่มีราว 2.2 ล้านตันต่อปี ได้รับผลกระทบทันทีโดยรวมทำให้ผู้ส่งออกขาดทุนกำไรไปแล้ว 5-7% ส่งผลให้ค่ายรถยี่ห้อต่างๆหันมาปรับแผนการดำเนินธุรกิจใหม่ในช่วงที่ค่าเงินบาทผันผวนแรง
โดยเดินหน้า 3 แนวทางด้านส่งออก แนวทางแรก เร่งเจรจากับลูกค้าต่างประเทศขอปรับราคา 2-3% ซึ่งขึ้นอยู่กับชิ้นส่วนและอุปกรณ์นำเข้าที่มาชดเชยส่วนที่ขาดทุนจากการส่งออก แนวทางที่สอง ปรับกลยุทธ์ด้านการผลิตและการตลาดใหม่ เช่นการเจรจากับคู่ค้าเพื่อขอลดจำนวนการส่งออกก่อนในระยะสั้น แล้วหันมาบุกตลาดในประเทศโดยป้อนรถให้กับลูกค้าที่ซื้อรถตามนโยบายรถคันแรกที่ยังรอส่งมอบรถนานถึงปลายปี แนวทางที่สาม ปรับปรุงต้นทุนการผลิตใหม่ทุกช่องทางเพื่อ ให้สามารถแข่งขันได้
"ค่าเงินบาทที่เหมาะสมที่สุดสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ควรจะอยู่ที่ระดับ 29-30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ดังนั้นภาครัฐควรจะหามาตรการในการรักษาเสถียรภาพของค่าเงินบาท ไม่ให้แข็งค่าต่ำกว่านี้นานเกินไป เพราะจะทำให้ผู้ประกอบการเสียโอกาสทางการค้าไม่สามารถแข่งขันได้ โดยเฉพาะอินโดนีเซีย"
-อุตฯไฟฟ้าฯเล็งลงทุนอิเหนา
นายศุภชัย สุทธิพงษ์ชัย ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ กล่าวว่า ผลกระทบไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของค่าเงินบาทที่แข็งค่า แต่อุตสาหกรรมยังมีปัญหาการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาททั่วประเทศ ถึง 2 ครั้ง ทำให้กลุ่มอุตสาหกรรมเริ่มมีแนวคิดที่จะย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่นแทน โดยมองอินโดนีเซียเป็นประเทศแรกที่จะไปลงทุน เนื่องจากเป็นตลาดขนาดใหญ่และประชาชนยังขาดแคลนในเรื่องของเครื่องใช้ไฟฟ้าจำนวนมาก
"หากค่าเงินต่ำกว่า 29 บาท ถือว่าขาดทุนแล้ว ขณะนี้ทำได้คือ การต่อรองราคากับลูกค้าในการปรับราคา ซึ่งจะมีผลทำให้จำนวนสินค้าส่งออกลดลงเช่นกัน จากมูลค่าการส่งออกของกลุ่มอุตสาหกรรมไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ แต่ละปีจะอยู่ที่ประมาณ 1.8-1.9 ล้านล้านบาท ถือเป็นตัวเลขการส่งออกที่สูงที่สุด หากเทียบกับกลุ่มอุตสาหกรรมอื่น "
-ห่วง6-9เดือนที่เหลือแพ้คู่แข่ง
ด้านนายสุกิจ คงปิยาจารย์ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม ส.อ.ท. เปิดเผยว่า เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นจะกระทบรุนแรงกับขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการ ที่ไม่สามารถแข่งขันกับอินโดนีเซีย จีนและเวียดนามได้ในอีก 6-9 เดือนข้างหน้า เนื่องจากทั้ง 3 ประเทศนี้ค่าเงินอยู่ในระดับคงที่และมีแนวโน้มอ่อนตัวลง เมื่อเทียบกับของไทยนับวันที่จะแข็งค่ามากขึ้น
"ที่ผ่านมาผู้ประกอบการได้ทำประกันความเสี่ยงจากการรับออร์เดอร์ผลิตสินค้าช่วงที่ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงระดับ 30-31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯไปแล้ว หากจะรับออร์เดอร์ใหม่ ในระดับค่าเงินบาทที่เป็นอยู่เช่นนี้ ก็จะทำให้สินค้าส่งออกแข่งขันยากขึ้น และขาดทุน จากแต่ละปีที่มีมูลค่าการส่งออกสินค้าเครื่องนุ่งห่มจะอยู่ประมาณ 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ "
สอดคล้องกับนายวีระชัย คุณาวิชยานนท์ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ ส.อ.ท. กล่าวว่าค่าเงินบาทตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาแข็งค่าขึ้นไปแล้วถึง 6-8 % เมื่อเทียบกับในภูมิภาคนี้แข็งค่าขึ้นไม่ถึง 2 % ซึ่งหากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้จะส่งผลให้มูลค่าการส่งออกเฟอร์นิเจอร์ลดลงจากปีนี้คาดว่าจะอยู่ในระดับ 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
*บาทแตะ 27 บาทส่งออกโตแค่ 3%
ด้านนายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจผู้ประกอบการทั่วประเทศเกี่ยวกับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนในช่วงที่เงินบาทอยู่ที่28.80-29.10 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ พบว่า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ระบุว่าค่าเงินที่เหมาะสมที่สุดควรจะอยู่ที่30.48 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ และการแข็งค่าของเงินบาทที่ผู้ประกอบการรับได้อยู่ที่ 29.18 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ แต่หากแข็งค่าถึง 27-27.90 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ จะทำให้ผู้ประกอบการ12.4% ต้องปลดคนงาน และทำให้ผู้ประกอบการ9.8% ต้องปิดกิจการลง
"หากค่าเงินบาท สามารถประคองอยู่ที่ 28 - 28.90 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ จะทำให้การส่งออกขยายตัว 6 - 8% แต่หากบาทแข็งค่าที่ 27 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งออกจะขยายตัวเพียง 3 % และจะทำให้เศรษฐกิจ (จีดีพี)ประเทศ โตที่ 4 - 5% "
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ ได้รายงานมูลค่าส่งออกในรอบไตรมาสแรกปี 2556 ( ม.ค. - มี.ค. ) อยู่ที่ 56,966.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 4.26 % และเฉพาะเดือนมีนาคม มีมูลค่าอยู่ที่ 20,769.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โต 4.55% เทียบจากปีก่อนหน้า
*โบรกฯจ้องหั่นเป้ากำไรบจ.
นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์(บล.)เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าตั้งแต่ต้นปี 2556 ถึงปัจจุบันเงินบาทแข็งค่าประมาณ 6-7 % และเสี่ยงที่จะแข็งค่าต่อเนื่องนั้น จึงมีโอกาสที่ฝ่ายวิจัยบล.เมย์แบงก์ กิมเอ็งฯจะทบทวนการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียน(บจ.)สำหรับปี2556 จากปัจจุบันที่คาดว่าเติบโตจากปีก่อน 20 % โดยกลุ่มที่น่าจะได้รับผลกระทบหนักที่สุด คือ สินค้าเกษตร เนื่องจากมีสัดส่วนการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศน้อยมากเมื่อเทียบกับกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ดังนั้นจึงแนะนำชะลอการลงทุนในหุ้นกลุ่มส่งออก ซึ่งบริษัทจะมีการทบทวนอัตราการเติบโตของกำไรบจ.อีกครั้งหลังผ่านครึ่งปีแรกไปแล้ว
นางภรณี ทองเย็น ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัยหลักทรัพย์บล.เอเซีย พลัสฯ กล่าวถึงผลกระทบที่คาดว่าจะมีต่อตลาดหุ้น คือ กระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายหรือฟันด์โฟลว์ หากธปท.ออกมาตรการสกัดบาทแข็ง ซึ่งคงจะเป็นโอกาสที่นักลงทุนต่างชาติหาจังหวะขายหุ้นไทยออกมาก็เป็นได้ หลังจากที่ซื้อสะสมต่อเนื่องจากปี 2555 ดังนั้นจึงประเมินว่าปี 2556 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯจะปรับขึ้นสูงสุดไม่เกิน 1,600 จุด อิงจากอัตราราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น (พีอี เรโช)ที่ 17-18 เท่า โดยแนะนำให้ลงทุนในหุ้นที่ยังได้ประโยชน์จากบาทแข็งค่า หุ้นที่ได้ประโยชน์จากโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และการบริหารจัดการน้ำ นำโดยกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง และกลุ่มธนาคารพาณิชย์
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 33 ฉบับที่ 2,838 วันที่ 25 - 27 เมษายน พ.ศ. 2556