ธุรกิจไทยส่งเสียงเชียร์ "โอบามา"นั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯอีกหนึ่งสมัย เชื่อสานต่อนโยบายเดิมสร้างผลดีการค้าไทย หวังขับเคลื่อนคิวอี 3 ช่วยดันเศรษฐกิจโลกฟื้น ขณะหาก "รอมนีย์"แซงโค้งสุดท้าย
หวั่นเปิดสงครามการค้าจีนลามกระทบไทย ผวาแทรกแซงซีเรียดันน้ำมันโลกพุ่ง ด้านผู้ส่งออกกุ้ง-ยางพาราชี้ ใครมากีดกันการค้าพอกัน
นับถอยหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา จะมีขึ้นในวันที่ 6 พฤศจิกายนนี้ ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งจะเป็นการต่อสู้กันระหว่างนายบารัก โอบามา จากพรรมเดโมแครต ที่จะลงชิงตำแหน่งลุ้นนั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีต่อเป็นสมัยที่ 2 กับนายมิตต์ รอมนีย์ จากพรรครีพับลิกัน ซึ่งการนับผลการเลือกตั้ง ชาวอเมริกันและชาวโลกจะรับทราบอย่างเป็นทางการในวันที่ 17 ธันวาคม 2555 แต่ประเด็นที่น่าสนใจและน่าติดตาม หลังทราบผลการเลือกตั้ง คือ หากนายโอบามา หรือนายรอมนีย์ คนใดคนหนึ่งได้นั่งเก้าอี้ประธานาธิบดี จะส่งผลกระทบกับประเทศไทยในแง่มุมต่าง ๆ อย่างไรบ้าง
- เอกชนไทยเชียร์โอบามา
นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" โดยเปรียบเทียบนโยบาย ระหว่างนายบารัก โอบามา จากพรรคเดโมแครต กับนายมิตต์ รอมนีย์ จากพรรครีพับลิกัน ว่า พรรคเดโมแครตมีแนวนโยบายเสรีนิยม และใช้มาตรการผ่อนปรนเป็นหลัก เน้นหัวก้าวหน้า โดยจะเห็นว่านโยบายปัจจุบัน โอบามาจะให้ความสำคัญกับนโยบาย Change หรือการเปลี่ยนแปลง และหากได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีอีกสมัย ก็จะให้ความสำคัญกับนโยบาย Forwardes หรือไปข้างหน้า เป็นเป็นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจต่อเนื่องที่สานต่อนโยบายได้ทันที โดยเฉพาะมาตรการ คิวอี 3 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ถดถอย ให้เดินหน้าต่อไป ซึ่งจะทำให้ตลาดหุ้นในอเมริกาเป็นบวก เพราะคนอเมริกามีรายได้ส่วนหนึ่งมาจากการตลาดหุ้น
"จากกรณีดังกล่าวจะทำให้เกิดความต่อเนื่อง และจะเกิดการจ้างงาน มีการบริโภคภายในประเทศ ที่มีสัดส่วนถึง 50% เมื่อมีการจับจ่าย มีกำลังซื้อเกิดขึ้น ก็จะไปกระตุ้นเศรษฐกิจโลก เชื่อมโยงกันถึงยุโรป ญี่ปุ่น อาเซียน และก็จะส่งผลถึงไทยด้วย การส่งออกของไทยไปสหรัฐฯก็จะขยายตัวดีขึ้น"
ขณะที่นายมิตต์ รอมนีย์ จากพรรครีพับลิกัน มีแนวนโยบายอนุรักษนิยม เน้นมาตรการที่แข็งกร้าวเป็นหลัก จากสโลแกน "อนาคตของอเมริกาที่ดีกว่าวันนี้" หรือการสร้างโลกใหม่ที่มีอเมริกาเป็นตัวตั้ง มีการเจรจาทางการค้า การส่งออกที่มีเงื่อนไขมากขึ้น เช่น เรื่องการกีดกันทางการค้า การใช้แรงงานเด็ก รวมถึงมาตรการกีดกันการค้าที่ไม่ใช่ภาษี ฉะนั้น สินค้าเกษตรจะถูกปกป้องมากขึ้น กระทบต่อการส่งออกสินค้าเกษตรของไทย และจะมีผลต่อการกดดันจีนมากขึ้น 2ด้าน คือ ด้านเศรษฐกิจ และด้านค่าเงินหยวน ที่อเมริกาต้องการให้ค่าเงินหยวนแข็งค่า ซึ่งตรงนี้จะเป็นข้อดีของไทย ที่สินค้าไทยในตลาดส่งออกจะถูกลง ขณะที่นโยบายในต่างประเทศจะมีผลกระทบบ้างในแง่มาตรการคิวอี 3 ที่อาจชะลอไป ก็จะมีผลเรื่องเงินทุนไหลเข้า การเก็งกำไรข้างนอกมากขึ้น โดยนายรอมนีย์ มีฐานเสียงสนับสนุนอยู่ในกลุ่มนักธุรกิจ นักอุตสาหกรรม เช่น ผู้ผลิตน้ำมัน ผู้ค้าอาวุธสงคราม
-หวั่น"รอมนีย์"ขึ้นน้ำมันพุ่ง
นายธนิต กล่าวว่า สุดท้ายแล้วถ้าชั่งน้ำหนักในแง่ประโยชน์กับประเทศไทยมากที่สุด จากนโยบายด้านเศรษฐกิจของ 2 ผู้ท้าชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอเมริกาแล้ว นโยบายของโอบามา น่าจะได้ประโยชน์ต่อประเทศไทยมากกว่า เนื่องจากช่วงโอบามา มีการเจรจาแบบพหุภาคี คือ เจรจากันเป็นกลุ่มประเทศ และจะทำให้เศรษฐกิจในสหรัฐฯไม่เปลี่ยนแปลงมาก ขณะที่รอมนีย์ ชอบเจรจาแบบทวิภาคี โดยยึดอเมริกาเป็นหลัก ซึ่งไทยอาจจะเสียเปรียบเพราะต่อรองได้ไม่เต็มที่ บวกกับสไตล์พรรครีพับลิกัน จะมุ่งแทรกแซงจีน และกรณีการเข้าไปแทรกแซงซีเรีย ก็จะทำให้สถานการณ์โลกโดยรวมไม่ดี อาจจะฉุดให้ราคาน้ำมันสูงขึ้นได้ ก็จะไปกระทบกับเศรษฐกิจไทย
สอดคล้องกับที่นายไพบูลย์ พลสุวรรณา ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ถ้ายึดประเทศไทยเป็นที่ตั้ง ก็ต้องเทเสียงให้กับโอบามา เพราะเข้ามาก็สานต่อนโยบายได้ทันที และมั่นใจว่าจะเกิดประโยชน์กับอาเซียน มีการเดินต่อในเรื่องของเอฟทีเอกับทั่วโลก การค้าของไทยก็จะราบรื่นไปด้วย โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าอาหารทะเล เช่นกุ้ง ปลาทูน่า ที่มีการส่งออกไปอเมริกาสัดส่วน 50 % ของการผลิตรวมในประเทศ ขณะที่ถ้ารอมนีย์เข้ามาเป็นประธานาธิบดี ต้องใช้เวลาในการดูเรื่องนโยบายในอเมริกา และนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ซึ่งการขยับตัวกว่าจะทราบทิศทาง การบริหารงานเศรษฐกิจสหรัฐฯอาจสะดุดได้ 2-3 เดือน นอกจากนี้ตอนที่ดีเบตกันครั้งแรก รอมนีย์ก็บอกว่าจะจัดการกับจีน ซึ่งจีนเป็นตลาดใหญ่ ถ้าเกิดอะไรขึ้นก็กระทบถึงไทยกับอาเซียนด้วย และจะทำให้ผู้นำเข้าสินค้าจากอเมริกาเกิดการชะงักงันได้
"ตามประวัติศาสตร์ของอเมริกา ส่วนใหญ่ประธานาธิบดีมักได้นั่ง 2 สมัย ยกเว้นผู้นำจะทำเศรษฐกิจพังอย่างรุนแรง และถ้าโอบามาได้นั่งต่ออีกสมัย ก็จะให้ความสำคัญกับอาเซียนมากขึ้น และหลายอย่างที่อเมริกาเคยเข้มงวดทางการค้าก็จะผ่อนคลายลง"
-รอมนีย์มาไทยเสียเปรียบคู่แข่ง
ขณะที่นายบัณฑูร วงศ์สีลโชติ ประธานคณะกรรมการประเด็นทางการค้า สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย มองต่างมุม โดยเปรียบเทียบนโยบายของทั้งสองพรรคว่า ในช่วงที่นายโอบามา จากพรรคเดโมแครต ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีมา 4 ปี มีนโยบายสนับสนุนให้บริษัทต่าง ๆ ลงทุนภายในประเทศ มากกว่าที่จะไปลงทุนข้างนอก เพราะต้องการลดอัตราการว่างงานของชาวอเมริกันที่ประสบปัญหาเศรษฐกิจ
ขณะที่พรรครีพับลิกัน เป็นพรรคการเมืองของนายทุน มีนโนบายสนับสนุนให้บริษัทของอเมริกันออกไปลงทุนนอกประเทศ จะเห็นได้จากในช่วงที่นายจอร์จ ดับเบิลยู. บุช จากพรรครีพับลิกัน เป็นประธานาธิบดี จะเร่งทำความตกลงเขตการค้าเสรี หรือเอฟทีเอ กับประเทศต่าง ๆ เยอะมาก ขณะที่ช่วง 4 ปีล่าสุดที่นายโอบามาดำรงตำแหน่ง มีการจัดทำเอฟทีเอไปเพียงแค่ 2 ฉบับเท่านั้น
"อย่างไรก็ดีมองว่า ถ้ารอมนีย์เข้ามาเป็นประธานาธิบดี ไทยจะมีความเสียเปรียบคู่แข่งสำคัญ เพราะไทยเลือกข้างประเทศจีน ในการทำเอฟทีเออาเซียนบวก 6 (อาเซียน 10 ประเทศ+จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์) แทนการเข้าร่วมเจรจาความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก หรือ TPP ที่มีสหรัฐฯเป็นผู้นำ "
สอดคล้องกับนายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล รองประธานกรรมการหอการค้าไทย ที่กล่าวว่า นโยบายของทั้งสองพรรคในเรื่องเศรษฐกิจ ยังมองความต่างไม่ชัดเจน ส่วนในเรื่องนโยบายของนายรอมนีย์ ในระยะยาวที่อาจจะมีปัญหาต่อตัวเขาเอง เช่น การไม่เก็บภาษีคนรวย การตอบโต้การค้ากับจีน แม้ว่าจะใช้เป็นเครื่องมือในการหาเสียงเรียกคะแนนนิยมก็ตาม ส่วนโอบามา ที่เชียร์ให้อยู่ต่อนั้น เพราะจะได้บริหารประเทศอย่างต่อเนื่อง และจะเป็นผลดีต่ออุตสาหกรรมของไทยมากกว่ารอมนีย์
ขณะที่นายเจริญ เหล่าธรรมทัศน์ ประธานบริษัท อุทัยโปรดิวส์ จำกัด ผู้ส่งออกข้าวหอมมะลิ มองต่างมุมว่า ส่วนใหญ่พ่อค้าจะชอบพรรครีพับลิกันมากกว่า เพราะเปิดเสรีทางการค้ามากกว่าพรรคเดโมแครต ที่ผ่านมานับแต่นายโอบามาดำรงตำแหน่ง จะมีกฎระเบียบเข้มงวดต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย ทำให้การค้าไทย-สหรัฐฯไม่ค่อยราบรื่นเท่าที่ควร เพราะยึดนโยบายปกป้องผลประโยชน์ของคนในประเทศเป็นหลัก
++ชี้โดนกีดกันทั้งคู่
ด้านแหล่งข่าวผู้ส่งออกกุ้งไทยไปสหรัฐฯ กล่าวว่า ไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาเป็นพรรคเดโมแครตหรือพรรครีพับลิกัน นั้นไม่แตกต่าง เพราะนโยบายของสหรัฐฯ จะยึดถือผลประโยชน์ของประเทศมาเป็นอันดับแรก ซึ่งกุ้งไทยที่ส่งออกไปจะโดนกีดกันด้วยมาตรการต่าง ๆ อาทิ การทบทวนอัตราอากรตอบโต้การทุ่มตลาด (เอดี) กล่าวหามีการใช้แรงงานเด็กและแรงงานผิดกฎหมาย โดยไทยถูกระบุเป็น 1 ใน 134 ประเทศที่ใช้แรงงานเด็ก และแรงงานผิดกฎหมายในอุตสาหกรรมประมง และอาหารทะเล เป็นต้น
"ที่ผ่านมาจะเห็นว่า รัฐบาลไทยเอื้อสหรัฐฯตลอด ทั้งกรณี 1.เสนอให้กองทัพสหรัฐฯ ใช้สนามบินอู่ตะเภา เพื่อเป็นศูนย์บรรเทาสาธารณภัย และความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ 2. องค์การนาซ่าขอใช้เพื่อจอดอากาศยานขึ้นบิน เพื่อตรวจสอบสภาพอากาศ แม้ว่าจะไม่ทันกรอบเวลาจนสหรัฐฯ ขอยกเลิกไปโดยปริยาย หลังจากนั้นไทยก็โดนกีดกันทางการค้า ทั้งมาตรการทางภาษีและไม่ใช่ภาษีในรูปแบบต่าง ๆ เพราะฉะนั้นสรุปแล้วไม่มีผลดีเลยไม่ว่าจะเป็นพรรคไหนก็ตาม "
ส่วนดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า นโยบายการค้าของสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นพรรคไหน จะยึดถือผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก ในมุมมองจะเห็นว่าทั้งสองคนต่างบุคลิกกัน โดยนายรอมนีย์ จะออกแนวบู๊ ขณะที่โอบามาแนวสุขุมยึดสันติ หากนายรอมนีย์ ได้เป็นประธานาธิบดี การดำเนินนโยบายต่าง ๆ จะทราบและเห็นผลเร็ว ส่วนโอบามาสำเร็จเหมือนกันแต่จะไปช้า ๆ ตามสไตล์ที่เคยบริหารประเทศมาในช่วง 4 ปี
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 32 ฉบับที่ 2,789 วันที่ 4-7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555