สถาบันเหล็กฯ เร่งเซอร์เวย์นักลงทุนใหญ่ถอดใจลงทุนเหล็กต้นน้ำหรือไม่ หลังโครงการไม่คืบกว่าครึ่งทศวรรษ ล่าสุดเรื่องค้าง กอช.สมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ กระทรวงอุตฯ เตรียมชงเรื่องเข้า "ปู2" อีกรอบ ยืนยันผลการศึกษาเดิม ปัตตานี-ทวาย ยังเป็นตัวเลือก คาดฟันธงชัดภายในปี 2555 นี้
นายวิกรม วัชระคุปต์ ผู้อำนวยการสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ในเดือนกุมภาพันธ์ 2555 นี้ มีกำหนดพบปะกับนักลงทุนที่มีความสนใจลงทุนในโครงการเหล็กต้นน้ำประกอบด้วยผู้สนใจ 4 รายเดิม ได้แก่ บริษัท นิปปอน สตีล คอร์ปอเรชั่นฯ และ บริษัท เจเอฟอี สตีล คอร์ปอเรชั่น จากญี่ปุ่น บริษัท บาวสตีล ของจีน และ บริษัทอาร์เซลอร์ มิตตาล สัญชาติอินเดีย นอกจากนี้ ยังมี บริษัท พอสโก สตีล (Posco) ประเทศเกาหลีใต้ด้วย ซึ่งช่วงที่ผ่านมาพอสโกมีการเคลื่อนไหวอย่างมากในแวดวงอุตสาหกรรมเหล็กไทยด้วยการเข้ามาเทกโอเวอร์ บริษัท ไทยน็อคซ์ สเตนเลส จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตสเตนเลสส์รายใหญ่ของไทย
"ที่ผ่านมานักลงทุนญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ยังคงให้ความสนใจโครงการลงทุนเหล็กต้นน้ำในประเทศไทย โดยเฉพาะเกาหลีที่ค่อนข้างแอกทีฟ แต่ทางจีนยังเงียบ ดังนั้น ในช่วง 1 เดือนนี้สถาบันเหล็กฯ จะมีการพูดคุยกับกลุ่มนักลงทุนซึ่งจะได้ความชัดเจนว่ายังมีความสนใจลงทุนที่ประเทศไทยอยู่หรือไม่"
นายวิกรม กล่าวด้วยว่า สำหรับความคืบหน้าการผลักดันโครงการเหล็กต้นน้ำนั้น ก่อนหน้านี้มีกำหนดนำเสนอการศึกษาความเป็นไปได้โครงการจัดตั้งอุตสาหกรรมเหล็กขั้นต้นเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งชาติ (กอช.) ในสมัยรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2554 แต่การประชุมของ กอช. ถูกเลื่อนไปอย่างไม่มีกำหนด ประกอบกับมีการเลือกตั้งใหม่จึงยังไม่ได้มีการพิจารณาผลการศึกษาดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้คณะอนุกรรมการกลั่นกรอง กระทรวงอุตสาหกรรมเตรียมที่จะนำเสนอโครงการเหล็กต้นน้ำเข้าสู่การพิจารณาของ กอช. อีกครั้ง และคาดว่าจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนภายในปี 2555 นี้ ว่าจะมีโครงการเหล็กต้นน้ำเกิดขึ้นหรือไม่ ในพื้นที่ใด
ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมจะยังคงนำเสนอผลการศึกษาเดิม เน้นการพัฒนาแบบยั่งยืน คำนึงถึงการจัดการผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การมีส่วนร่วมของประชาชน พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตและสังคม โดยในแง่ของพื้นที่มีทั้งตัวเลือกพื้นที่ในประเทศ เช่น ปัตตานี และตัวเลือกในต่างประเทศ เช่น ทวาย ในสหภาพพม่า ซึ่งแต่ละพื้นที่มีข้อได้เปรียบ-เสียเปรียบ และมีเงื่อนไขแตกต่างกัน ส่วนโอกาสที่นักลงทุนจะมองการลงทุนโครงการเหล็กต้นน้ำในต่างประเทศ โดยเฉพาะอินโดนีเซียและเวียดนามที่รัฐบาลของทั้ง 2 ประเทศพยายามผลักดันนั้น จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีความคืบหน้าเท่าใดนัก แต่ประเทศที่น่าจับตามองคือสหภาพพม่าที่เริ่มเปิดประเทศและมีความพร้อมด้านทรัพยากร ประกอบกับในเร็วๆ นี้จะมีกลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะก้าวสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนอย่างเต็มตัว จึงเป็นไปได้ที่จะมีการลงทุนขนาดใหญ่ไหลเข้าไปในพม่าค่อนข้างมาก
อนึ่ง โครงการเหล็กต้นน้ำเป็นแนวคิดที่รัฐบาลเริ่มมีการผลักดันมาตั้งแต่สมัยที่คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) มีมติในวันที่ 13 พฤศจิกายน 2550 ประกาศแนวทางส่งเสริมการลงทุนกิจการผลิตเหล็กขั้นต้นเพื่อผลิตเหล็กคุณภาพสูง มีเป้าหมายผลิตเหล็กเพื่อทดแทนการนำเข้าตอบสนองความต้องการใช้เหล็กของประเทศที่มีแนวโน้มสูงขึ้น และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ตั้งเป้าผลิตไม่ต่ำกว่า 5 ล้านตันต่อปี ใช้เงินลงทุนนับแสนล้านบาท เนื่องจากเป็นการลงทุนขนาดใหญ่ ใช้พื้นที่ไม่ต่ำกว่า 8,000 ไร่ และต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอีกจำนวนมาก (ดูตาราง) โดยการศึกษาความเป็นไปได้โครงการจัดตั้งอุตสาหกรรมเหล็กขั้นต้น ระยะที่ 1 ของสถาบันเหล็กฯ มีการศึกษาพื้นที่ตัวอย่าง 2 แห่ง คือ 1.อำเภอแหลมสิงห์ จังหวัดจันทบุรี แต่ถูกคัดค้านจากภาคประชาชน และ 2.อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา อย่างไรก็ตาม สถาบันเหล็กฯ ยืนยันว่า การศึกษาในพื้นที่ 2 แห่ง เป็นเพียงการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการหากจะมีการลงทุนในประเทศไทย โดยไม่ได้มีวัตถุประสงค์ที่ลงทุนในพื้นที่ดังกล่าว
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,710 2-4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555